สำบัดสำนวนกับความเป็นไปในสังคม




สำบัดสำนวนกับความเป็นไปในสังคม...

เมื่อเดินไปในสถานที่ต่าง ๆ เรามักจะได้ยินเสียงรอบตัวของเราไม่ว่าจะเป็นเสียงรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนน เสียงนกที่ร้องทักทายธรรมชาติหรือแม้กระทั่งเสียงพูดคุยของผู้คน และในเสียงที่ผู้คนพูดกันนั้นยังมีคำมากมายที่ทำให้ตัวผู้เขียนนั้นได้นึกถึงประโยคที่เคยได้ยินมาว่าคนไทยเป็นคนเจ้าสำนวน
             มีคนเคยบอกกับผู้เขียนว่าคนไทยเรานั้นเป็นคนเจ้าสำนวนมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว มีการใช้คำที่พลิกแพลง ใช้เปรียบเทียบเสียดสีสิ่งต่างๆในสังคม แต่คำเหล่านั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ซึ่งทำให้สำนวนนั้นกลายเป็นสำนวนต่างสมัยที่มีความหมายเหมือนกันโดยสำนวนหนึ่งเป็นสำนวนที่ใช้ในอดีต และอีกสำนวนหนึ่งเป็นสำนวนที่ใช้ในปัจจุบัน และในบทความนี้ตัวผู้เขียนก็ได้เกิดความสนใจสำนวนที่ได้ยินมาในสังคมของเรา จึงขอเสนอสำนวนที่มักพบบ่อย ๆ ซึ่งเป็นสำนวนเกี่ยวกับความเป็นไปในสังคม ดังต่อไปนี้



๑.ขึ้นต้นไม้สุดยอด- ติดขั้น
          สำนวนเดิมจะใช้คำว่า ขึ้นต้นไม้สุดยอด ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบันว่า ติดขั้นโบราณเปรียบความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเหมือนกับการปีนต้นไม้ ถ้าขึ้นไปถึงยอดแล้วก็ไม่มีทางได้เลื่อนต่อไปอีกแล้ว ปัจจุบันเรียกว่าตำแหน่งตันหรือติดขั้น เพราะการเลื่อนตำแหน่งทางราชการเดี๋ยวนี้ใช้คำว่าเลื่อนขั้น เมื่อเลื่อนไม่ได้จึงพูดว่า ติดขั้น
          ๒.เดินป้าย-เดินหนังสือ
          สำนวนเดิมใช้ว่า เดินป้าย ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบันว่า เดินหนังสือสำนวนนี้ไม่ทราบว่าทำไมโบราณจึงใช้คำว่าเดินป้าย หรืออาจจะเฉพาะการส่งหนังสือในสมัยโบราณอาจจะจัดที่รับหนังสือไว้โดยเฉพาะโดยมีป้ายบอกให้รู้ ปัจจุบันการส่งหนังสือในสถานที่ราชการหรือสำนักงานต่าง ๆ จะใช้คำว่า เดินหนังสือ แทน  สำนวนทั้งสองมีความหมายว่า ส่งหนังสือ เหมือนกัน
          ๓.ฉีกหน้ากาก-เปิดโปง แฉโพย

          สำนวนเดิมใช้คำว่า ฉีกหน้ากาก ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบันว่า เปิดโปงสำนวนฉีกหน้ากากนั้นมีที่มาจากสำนวนใส่หน้ากาก คือหมายถึงคนหลอกลวงหรือแกล้งพูดแกล้งทำ คือเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะทำดี พูดดี เหมือนกับใส่หน้ากากไว้ แต่เบื้องหลังนั้นเป็นคนชั่ว คนที่รู้เบื้องหลังก็พยายามที่จะเปิดเผยให้คนอื่นรู้จะได้ระวังตัวไว้ การเปิดเผยเบื้องหลังความชั่วนี้จึงเรียกเป็นสำนวนว่า ฉีกหน้ากากปัจจุบันสำนวนฉีกหน้ากาก ไม่ค่อยนิยมใช้กัน เปลี่ยนมาใช้สำนวนเปิดโปงแทน เปิดโปงก็คือการเปิดสิ่งที่คลุมอยู่ออกให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน นอกจากนี้ยังนิยมใช้สำนวนแฉโพยด้วย ทั้งสามสำนวนมีความหมายเหมือนกันคือ การแฉให้เห็นความหลอกลวงที่ซ่อนอยู่ภายใน
          ๔.ปากหอยปากปู
-เสียงนกเสียงกา
          สำนวนเดิมใช้ว่า
ปากหอยปากปูตรงกับที่ใช้ในปัจจุบันว่า เสียงนกเสียงกาสำนวนปากหอยปากปูมีความหมายหลายอย่าง คือ เดิมหมายถึงไม่พูด แต่ที่มีความหมายตรงกับเสียงนกเสียงกานั้น หมายถึงพวกที่ชอบซุบซิบนินทา หรือพวกที่ไม่สำคัญ ปัจจุบันสำนวนปากหอยปากปู ก็ยังมีใช้อยู่แต่ก็มีสำนวน เสียงนกเสียงกา เพิ่มขึ้นมา สำนวนทั้งสองเปรียบเทียบกับสัตว์เหมือนกัน และมีความหมายเหมือนกันดังนี้
ปากหอยปากปู
         
- คนที่ชอบพูดเรื่องของคนอื่น หรือชอบซุบซิบนินทา
         
- เสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญ
        
 - ชอบนินทาเล็กนินทาน้อย       


เสียงนกเสียงกา
         
- เสียงนินทาที่ไม่สำคัญ



          ๕.ข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อ, ไม้นอกกอ นอกคอก
          สำนวนเดิมใช้ว่า ข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อหรือ ไม้นอกกอตรงกับที่ใช้ในปัจจุบันว่า นอกคอก
          สำนวน
ข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อเป็นสำนวนที่มีคำคล้องจองกันและระบุความหมายชัดเจนลงไปว่าเป็นเรื่องของ ข้า และเจ้าหรือปัจจุบันอาจจะพูดว่าเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา หมายถึงผู้ใต้บังคับบัญชานั้นไม่ประพฤติปฏิบัติตามคำสั่ง และอาจมีความหมายเลยไปถึงการทรยศหักหลังด้วย สำนวนนี้ยังเปรียบเทียบได้ชัดเจนว่าเหมือน ข้าวนอกหม้อคือปกติข้าวควรจะอยู่ในหม้อถ้าอยู่นอกหม้อก็แสดงว่าอยู่คนละพวกกัน หรืออาจจะเปรียบเทียบไดว่าไม่ได้กินข้าวหม้อเดียวกัน ก็แสดงว่าเป็นคนละพวกเช่นเดียวกัน
          สำนวน
ไม้นอกกอคือคนที่ประพฤติผิดจากพวกเดียวกันหรือผิดจากธรรมเนียมที่พวกตนเคยปฏิบัติมา อาจใช้กับคนในครอบครัวเดียวกัน หรือใช้กับคนกลุ่มเดียวกันก็ได้ สำนวนนี้เปรียบกันต้นไผ่ที่แยกหน่อไปขึ้นต่างหากจากต้นอื่น ๆ ที่อยู่ในกอเดียวกัน
          สำนวน
นอกคอก เท่าที่ใช้กันส่วนใหญ่จะใช้ว่า ลูกนอกคอกหมายถึงลูกที่เกเรไม่เชื่อฟังพ่อแม่ สำนวนนี้เปรียบกับคอกซึ่งเป็นที่ล้อมขังสัตว์บางชนิด สำนวนทั้งสามมีความหมายเหมือนกันดังนี้
ข้านอกเจ้า ข้าวนอกหม้อ
- การทำหรือประพฤติอะไรนอกไปจากคำสั่งหรือแบบอย่างธรรมเนียมตลอดไปถึงการแอบอ้างตนว่า มีการเกี่ยวข้องกับผู้หญิงสูงศักดิ์หรืออะไรอย่างใดอย่างหนึ่งให้คนหลงเชื่อทั้ง ๆ ที่ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
         
- การกระทำหรือความประพฤตินอกเหนือคำสั่งหรือแบบธรรมเนียม
ไม้นอกกอ
         
- ประพฤติหรือทำอะไรผิดจากแบบแผนความนิยมของวงศ์ตระกูล ไม่ประพฤติหรือทำตามวงศ์ตระกูล
นอกคอก
         
- ไม่อยู่ในโอวาทหรือขนบธรรมเนียม เปรียบเหมือนวัวควายที่ไม่เชื่อง ละเมิดออกมาข้างนอกคอก
         
- พูดหรือทำแผลงไปจากปกติหรือธรรมดา
         
- ประพฤติไม่ตรงตามธรรมเนียมนิยม
         
- ประพฤติไม่ตรงตามแบบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ
          ๖.แปรพักตร์-เอาใจออกหาก
          สำนวนเดิมใช้ แปรพักตร์ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบันว่า เอาใจออกหากสำนวนแปรพักตร์เป็นสำนวนโบราณหมายถึงการทรยศไปเข้ากับอีก ฝ่ายหนึ่ง ใช้กันมากในการศึกสงครามสมัยก่อนโดยมักจะใช้กับประเทศที่เคยอ่อนน้อมหรือเคยมีสัมพันธ์ไมตรี แต่กลับไปเข้าข้างฝ่ายศัตรูส่วนสำนวน เอาใจออกหากสมัยก่อนก็มีใช้ แต่มักจะใช้กันเป็นคำธรรมดาไม่เชิงเป็นสำนวนหรือบางทีก็ใช้กับสำนวน แปรพักตร์ เช่น ขอมแปรพักตร์เอาใจออกหากจากไทยปัจจุบันนี้สำนวน แปรพักตร์ หายไป คงจะเป็นเพราะบ้านเมืองไม่มีศึกสงครามแล้ว และคนทั่วไปคงคิดว่าสำนวน แปรพักตร์ คงจะใช้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศึกสงครามเท่านั้นจึงเลิกใช้สำนวนนี้ไป เหลือแต่สำนวน เอาใจออกหาก ซึ่งใช้ได้กับคนทั่วไป โดยสำนวนทั้งสองมีความหมายเหมือนกันดังนี้

แปรพักตร์
- เอาใจออกห่าง ไม่ซื่อตรง
เอาใจออกหาก
         
- ไม่ร่วมใจ
         
- ห่างเกินไป ไม่ร่วมมือร่วมใจเหมือนเดิม ตีตนจาก ปลีกตัวออกไป
สำนวนที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนเชื่อว่าหลายๆท่านคงจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างแล้ว แต่นอกจากสำนวนที่ได้กล่าวไปนั้นยังมีอีกหลายสำนวนที่ผู้เขียนไม่ได้ยกมา และยังสามารถพบเจอได้เยอะในสังคมไทยของเราเช่นกัน

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Apple File System (APFS) ระบบไฟล์ใหม่ของ iOS, macOS